กลไกดั้งเดิมในการจัดการและบริหารกิจการระหว่างประเทศไม่สอดคล้องกับความต้องการของสถานการณ์โลกปัจจุบัน นอกจากนี้ ประเทศสำคัญบางประเทศจัดการกับประเด็นปัญหาระหว่างประเทศในทางที่ผิด ยิ่งทำให้ประเด็นปัญหาระหว่างประเทศหลายปัญหาขยายวง และสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การขยายตัวของอิทธิพลกลุ่มก่อการร้าย และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา ล้วนเป็นเพราะประเด็นปัญหาดังกล่าวไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มแรก ในแง่ระเบียบโลก เราต้องมาพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้
1.ปัจจัยสหรัฐฯ หลังสิ้นสุดสงครามเย็น สหรัฐฯเป็นผู้ครอบงำกิจการระดับโลกต่างๆ ดังนั้น สหรัฐฯต้องรับผิดชอบในระดับสูงต่อการไม่เป็นระเบียบของโลกที่ได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก่อนอื่น ความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯกำลังลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสหรัฐฯทำสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองพรรคการเมืองในสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนในการกำหนดนโยบายของสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น กระบวนการในการพิจารณาสถานการณ์โลกของสหรัฐฯมีประสิทธิภาพน้อยลง สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้คือ สหรัฐฯเกิดความผิดพลาดในการตัดสินแนวโน้มแห่งการพัฒนาของโลกหลังสงครามเย็น โดยยังคงยึดติดกับแนวความคิดสงครามเย็น และพยายามครอบงำโลกด้วยวิธีการทางการทหาร รวมทั้งพยายามเผยแพร่แนวความคิดทางการเมือง และค่านิยมของตนในขอบเขตทั่วโลก เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง หากกล่าวว่า ปี2014 เป็นจุดเปลี่ยนของระเบียบโลก สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ แนวทางเดิมในการครอบงำโลกของสหรัฐฯประสบความล้มเหลวแล้ว
2.ปัจจัยเกี่ยวกับประเทศที่เจริญขึ้นใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศจีนด้วย เมื่อปี 2010 จีนพัฒนาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก หากคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนของตลาด ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศที่เจริญขึ้นใหม่คิดเป็น50% ของทั่วโลก แม้ความสามารถในการบริหารโลกของพลังอำนาจเดิม เช่น สหรัฐฯได้ลดลงแล้ว แต่พลังอำนาจเหล่านี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้ประเทศที่เจริญขึ้นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารโลก ส่วนทางด้านประเทศที่เจริญขึ้นใหม่ก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเข้ามาแสดงบทบาทนำในการบริหารโลก ประเทศที่เจริญขึ้นใหม่ส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ประเทศเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับแนวทางในการบริหารโลกของประเทศตะวันตก จึงไม่เต็มใจที่จะเข้าไปเติมช่องว่างในการบริหารโลกที่เกิดขึ้น ดังนั้น การบรรลุความเห็นพ้องต้องกันในประเด็นการแก้ไขและปรับปรุงระเบียบโลกนั้นยังมีทางอีกไกลที่ต้องเดิน
3. ปัจจัยที่เกี่ยวพันกับพลังอำนาจอื่น เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และรัสเซีย ประเทศเหล่านี้มีพื้นฐานอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง สนใจและมีประสบการณ์ในการจัดการกับกิจการระหว่างประเทศต่างๆ แต่หลายปีมานี้ หลายประเทศดังกล่าวตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะมาช่วยจัดการกับกิจการระดับโลก ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่า จึงมักจะพิจารณากิจการระหว่างประเทศตามทีละเรื่อง ดังนั้น พลังอำนาจขั้วที่ 3 ของโลกยังไม่ได้เกิดขึ้น
ช่วงหลายปีมานี้เป็นช่วงที่สถานการณ์โลกมีความวุ่นวายและมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง หากจัดการเรื่องเล็กบางเรื่องอย่างไม่เหมาะสม เรื่องเล็กก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงที่จีนต้องการมีสันติภาพและเสถียรภาพมากเป็นพิเศษ เพราะปี2020 เป็นปีที่จีนจะบรรลุเป้าหมายแห่งศตวรรษเป้าหมายแรกในการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองของประชาชาติจีน ดังนั้น แนวโน้มของสถานการณ์โลก และความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศต่างๆทั่วโลกในช่วงหลายปีข้างหน้ามีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาของจีนในอนาคต
ในอนาคต สหรัฐฯจะพัฒนาไปทางไหน ? คงมีความเป็นไปได้สองแบบ ความเป็นไปได้แบบแรกคือ จากการบริหารด้วยดีสักระยะหนึ่ง สหรัฐฯสามารถรักษาแนวโน้มการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งต่อไป ค่อยๆ ฟื้นฟูพลังของประเทศชาติ และกระชับความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตร เช่น สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นอีกครั้ง รวมทั้งสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในประชาคมโลกขึ้นมาใหม่ หากประเทศอื่นไม่สามารถปรับนโยบาย หรือมีความผิดพลาดเกิดขึ้น สหรัฐฯอาจสามารถกลับมามีอำนาจในการควบคุมกิจการระหว่างประเทศอีกครั้ง ในยุคสงครามเย็น สหรัฐฯครอบงำโลกโดยแพร่ขยายอิทธิพลของเขาในภูมิภาคมหาสมุทรแอตแลนติก และมหาสมุทรแปซิฟิก หลังสงครามเย็น สหรัฐฯเน้นความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคมหาสมุทรแอตแลนติก ต่อมา สหรัฐฯหันไปให้ความสำคัญกับภูมิภาคตะวันออกกลาง และปัจจุบัน เมื่อพิจารณาถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชีย สหรัฐฯเริ่มหันมาสนใจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในอนาคต บทบาทของสหรัฐฯบนเวทีโลกขึ้นอยู่กับว่า สหรัฐฯสามารถฟื้นฟูพลังรวมแห่งชาติของเขามากน้อยเพียงใด ซึ่งเรื่องนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากจีนและประเทศอื่นทั่วโลก
ความเป็นไปได้แบบที่สองคือ สหรัฐฯอ่อนแอลงต่อไป และกลายเป็นหนึ่งในหลายประเทศที่สำคัญ ช่วงเวลานี้ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การกระทำของสหรัฐฯที่ใช้สองมาตรฐานในกิจการระหว่างประเทศ และถือประโยชน์ของตนเหนือสิ่งอื่นใดนั้นส่งผลกระทบทางลบต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ และไม่สอดคล้องกับแนวโน้มที่ต้องการสันติภาพและการพัฒนาของโลก ด้วยสาเหตุเหล่านี้ หากสหรัฐฯไม่ปรับปรุงนโยบายของตน คงยากที่จะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากประชาคมโลก
จีนและสหรัฐฯต่างมีบทบาทสำคัญในโลก สองประเทศนี้จะมองตนเอง และอีกฝั่งหนึ่งเป็นอย่างไรนั้นจะส่งผลกระทบถึงแนวทางการพัฒนาของโลกในอนาคต นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายบารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯเคยมีการพูดคุยกันหลายครั้งถึงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่ในรูปแบบใหม่ ซึ่งถือเป็นวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ที่กว้างไกล อย่างไรก็ตาม จีนและสหรัฐฯยังต้องมีการพูดคุยเจรจา และความร่วมมือกันมากขึ้น จึงสามารถบรรลุเป้าหมายตามแนวความคิดดังกล่าวได้
(yim/cai)