หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อมีผู้สื่อข่าวไปสัมภาษณ์นางปี้ ซูหมิ่น ในวัย 68 ปี เธอระบุว่า ตอนที่เขียนนวนิยายเรื่อง “ไวรัสมงกุฎดอกไม้” ก็เป็นห่วงว่าโรคระบาดจะเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวที่แล้วสัตว์ป่าเป็นต้นตอที่ทำให้เกิดโรคซารส์ ต่อจากนั้นเทศบาลกรุงปักกิ่งจึงสั่งห้ามค้าสัตว์ป่า ห้ามตลาดสดในเมืองฆ่าสัตว์ปีกเพื่อบริโภค ส่วนเมืองกว่างโจวก็ใช้มาตรการเช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ไม่มีการบริโภคอีเห็นเครือ อีกต่อไป
สำหรับการกักกันโรค ปี้ ซูหมิ่น ระบุว่า เป็นมาตรการที่จำเป็น นอกจากนี้ผู้คนยังต้องรู้จักวิธีการรักษาจิตใจให้สงบและลดความกังวล ปี้ ซูหมิ่น ระบุว่า ความมั่นใจสำคัญกว่ายา ไม่ว่าเผชิญโรคอะไรอย่าสูญเสียความมั่นใจ จิตใจพังไม่ได้ แม้ติดโรคแล้วก็อย่ายอมแพ้หรือท้อถอย ให้ระดมภูมิต้านทานให้มากที่สุดเพื่อต่อสู้กับโรคซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ฟื้นตัวและหายดี
ในฐานะแพทย์อายุรศาสตร์และจิตแพทย์ ปี้ ซูหมิ่น ติดตามสถานการณ์โควิด-19 มาโดยตลอด เธอระบุว่า ในฐานะแพทย์ผู้มีประสบการณ์จากการต้านโรคซาร์ส เธอคาดการณ์ว่าโควิด-19 ซึ่งเกิดจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ยิ่งปัจจุบันยังไม่มียารักษาที่มีประสิทธิภาพเพราะการประดิษฐ์คิดค้นยาต้องมีกระบวนการและใช้เวลาระยะหนึ่ง มนุษย์เรายังไม่สามารถป้องกันและควบคุมโรคนี้ได้ภายในเวลาอันสั้น ต้องเตรียมพร้อมเพื่อต่อสู้เป็นเวลายาวนาน
ปี้ ซูหมิ่น สนับสนุนให้ใช้มาตรการปิดเมืองโดยระบุว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส พิษโควิด-19 รุนแรงมาก ระบาดอย่างรวดเร็ว มาตรการปิดเมืองเป็นมาตรการป้องกันจำเป็นมิเช่นนั้นจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกโดยเฉพาะสำหรับพื้นที่บางแห่งที่มีเครื่องอุปกรณ์การแพทย์ไม่เพียงพออัตราการตายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
ปี้ ซูหมิ่น เป็นนักประพันธ์ที่อุดมไปด้วยผลงาน ชุดหนังสือรวมเล่มของเธอมีถึง 12 เล่ม คิดเป็นกว่า 5 ล้านตัวอักษร ผลงานของเธอมีเอกลักษณ์แห่งยุคสมัยอย่างชัดเจน ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและความรับผิดชอบของเธอ
นวนิยายขนาดยาวเรื่อง “หงฉู่ฟาง” หรือ “ใบสั่งยาสีแดง” เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด มีอยู่ตอนหนึ่งเธอเขียนเอาไว้ว่า ฉันเป็นคนจับงูแต่กลับถูกงูกัด ฉันสิ้นชีวิตตัวเองเพื่อประท้วงอาชญากรรม ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่า จิตสำนึกของมนุษย์ไม่มีใครเอาชนะได้ ยาเสพติดทำให้ฉันถูกพิษร้ายแต่ไม่มีทางทำให้ฉันยอมแพ้ได้ ต่อมานวนิยายเรื่องนี้ถูกแปลงเป็นละครโทรทัศน์และออกฉายทั่วประเทศในปลายทศวรรษ 1990
ผลงานวรรณคดีช่วงเริ่มต้นของปี้ ซูหมิ่นส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในกองทหารบนที่ราบสูงทิเบต ต่อมาเธอนิยมเขียนเรื่องเกี่ยวกับแพทย์ ผลงานวรรณคดีช่วงที่ 3 ของปี้ ซูหมิ่นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา นวนิยายขนาดยาวเรื่อง “เจิ่งจิ้วหรู่ฝาง” หรือ “กอบกู้เต้านม” เป็นนวนิยายเกี่ยวกับการเยียวยาทางจิตวิทยาที่เขียนโดยจิตแพทย์เล่มแรกของจีน จากนวนิยายเรื่องนี้ปี้ ซูหมิ่นสื่อถึงศักดิ์ศรีทางจิตใจและธรรมชาติของผู้ป่วยมะเร็ง
ส่วนนวนิยายเรื่อง “หนวี่ซินหลี่ซือ” หรือ “ที่ปรึกษาจิตวิทยาหญิง” บอกเล่าเรื่องราวความสลับซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างที่ปรึกษาจิตวิทยากับสามี คนรัก และผู้มีอิทธิพลทางจิตวิทยา โดยนางเอกพยายามกอบกู้จิตใจของผู้อื่น สุดท้ายสามารถรักษาจิตใจของตนเองไว้ได้ ปี้ ซูหมิ่นได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของนายซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวออสเตรีย ในการบรรยายความงามและความสลับซับซ้อนของชีวิตรวมถึงธรรมชาติของมนุษย์
ระหว่างปี ค.ศ. 1998 - 2002 ปี้ ซูหมิ่น ใช้เวลา 4 ปีไปกับการศึกษา “จิตวิทยามานุษยนิยม” (Humanistic psychology) ในระดับดุษฎีบัณฑิตที่คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง เมื่อมีคนถามว่าสาเหตุใดที่เธอเลือกเรียนจิตวิทยาในวัยใกล้ 50 ปี ปี้ ซูหมิ่น บอกว่า ก่อนอื่นดิฉันสนใจเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับผู้คนโดยเฉพาะสนใจชีวิตของคนเป็นพิเศษ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ความเป็นแพทย์ของเธอ ปี้ ซูหมิ่นยังเคยเรียนกายวิภาคของมนุษย์ เธอระบุว่า โครงสร้างทางสรีระของคนต่างกันไม่มาก แต่ในร่ายกายที่คล้ายคลึงกันของมนุษย์มีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันอยู่ การกระทำของคนมีความหลากหลายและเต็มเปี่ยมไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องซึ่งน่าสนใจมาก
ปี้ ซูหมิ่น ระบุด้วยว่า จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความคิดและการกระทำของคน เป็นวิทยาศาสตร์ที่สนุกและน่าสนใจมาก ในกระบวนการรังสรรค์ผลงานวรรณคดีนักประพันธ์จำนวนไม่น้อยพิจารณาโลก เข้าใจโลก และสัมผัสโลกตามความเข้าใจของตน แต่ปี้ ซูหมิ่นกลับมองว่า นอกจากความเข้าใจส่วนตัวแล้วยังต้องมีหลักวิทยาศาสตร์ การประพันธ์ต้องผสมผสานมุมมองของตนเองกับมุมมองทางวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลือกเรียนจิตวิทยา
ตอนเข้าเรียนใหม่ ๆ เพื่อนร่วมชั้นของปี้ ซูหมิ่นส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทเพื่อต่อปริญญาเอก หรือ เป็นผู้มีปริญญาเอกมาใบหนึ่งแล้วอยากศึกษาต่อปริญญาเอกด้านจิตวิทยาอีกใบหนึ่ง วัตถุประสงค์การเรียนของปี้ ซูหมิ่นต่างจากนักศึกษาเหล่านี้ที่มุ่งมีปริญญาไปประกอบอาชีพ สาเหตุที่ปี้ ซูหมิ่นอยากเรียนจิตวิทยานั้นเรียบง่ายมาก คือ ความแปลกใจและความอยากรู้อยากเห็น
ขณะกล่าวถึงความรู้สึกต่อการเป็นนักศึกษาในวัย 47 ปี ปี้ ซูหมิ่น เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกเธอก็ขาดความมั่นใจเพราะเพื่อนร่วมชั้นต่างศึกษามาแล้วมีพื้นฐานที่ดี เวลาอาจารย์พูดถึงคำเฉพาะบางคำเธอจะไม่เข้าใจ จำเป็นต้องจดไว้ก่อนเพื่อกลับไปเรียนเพิ่มเติมเองที่บ้าน
มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์ถามว่า คุณปี้ ซูหมิ่นทราบไหมว่าเพื่อนร่วมชั้นต่างอิจฉาคุณ ทำให้ปี้ ซูหมิ่นรู้สึกงงเพราะเธอมีอายุมากกว่าแต่ไม่ได้มีพื้นฐานด้านจิตวิทยา มิหนำซ้ำยังไม่มีประสบการณ์ทำงานเลยจึงคิดว่าเธอเองเป็นลูกศิษย์ท้ายแถวของอาจารย์ แต่อาจารย์กลับบอกว่าเพื่อนร่วมชั้นไม่เข้าใจว่า ทำไมปี้ ซูหมิ่นสามารถเรียนตามเพื่อนทันได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นอาจารย์ก็ช่วยอธิบายแทนปี้ ซูหมิ่นว่า คุณปี้ ซูหมิ่นเคยเป็นแพทย์และนักประพันธ์ด้วย ซึ่งล้วนแต่เป็นงานที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับผู้คน ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจุดเริ่มต้นของเธอจะช้าและต่ำกว่าเพื่อนร่วมชั้นแต่เธอก็สามารถผสานความรู้ต่าง ๆ ทางวิชาการให้เข้าด้วยกันด้วยดี ผลการเรียนของเธอจึงไม่แพ้เพื่อนคนอื่น ๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์เปิดบทสนทนาตอนหนึ่งให้ฟัง โดยมีหญิงสาวคนหนึ่งมาพบจิตแพทย์เนื่องจากคุณแม่เสียชีวิต หญิงสาวผู้นี้ร้องไห้หนักมาก ไม่ว่าจิตแพทย์จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรเธอก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อาจารย์จึงถามว่าเหตุใดหญิงสาวคนนี้จึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ มีนักศึกษาตอบว่า เพราะหญิงสาวคนนี้โศกเศร้าเสียใจมากและมีความเป็นไปได้ที่จะโทษตัวเองว่าไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณของแม่ แต่ปี้ ซูหมิ่นกลับคิดต่างออกไป เธอมองว่าหญิงสาวคนนี้มีความขัดแย้งกับแม่ ความจริงบางทีแม่กับลูกสาวก็เป็นคู่แค้นกันได้โดยอาจมีความขัดแย้งฝังลึกในใจของกันและกัน เมื่อแม่เสียชีวิตไปลูกสาวอาจรู้สึกว่าไม่มีโอกาสชำระความขัดแย้งในใจ ตลอดจนอาจมีความรู้สึกโกรธอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงร้องไห้ไม่หยุด อาจารย์เปิดบทสนทนาให้ฟังต่อไปจนพบว่าการวินิจฉัยของปี้ ซูหมิ่นนั้นถูกจุด
ตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ความเป็นแพทย์ และความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตมีส่วนช่วยต่อการศึกษาด้านจิตวิทยาของปี้ ซูหมิ่น เธอบอกว่าจิตวิทยามีส่วนช่วยต่อตัวเองมากซึ่งทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหนและมีความต้องการอะไรบ้าง
ปี้ ซูหมิ่น ยังระบุด้วยว่า การเข้าใจตัวเองอันที่จริงเป็นเรื่องที่ยากมาก นอกจากเข้าใจตัวเองจากปฏิกิริยาของผู้อื่นที่มีต่อตัวเราเองแล้ว หากไม่มีส่วนช่วยจากวิทยาศาสตร์การเข้าใจตัวเองคงจะไม่สมบูรณ์ เพื่อเรียนรู้ว่าจิตวิทยามีส่วนช่วยผู้อื่นอย่างไรและนำทฤษฎีที่เรียนมาไปใช้ หลังสำเร็จการศึกษาและมีคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาแล้ว ปี้ ซูหมิ่นจึงเปิดคลินิกแห่งหนึ่งปรากฏว่ามีผู้เดินทางมาขอคำปรึกษาจากทั่วประเทศอย่างคับคั่ง
ปี้ ซูหมิ่น ในฐานะจิตแพทย์ลงความเห็นว่า โรคจิตใจต้องป้องกันเป็นหลัก ต้องพยายามฝึกให้เป็นคนใจเย็น มั่นคง เข้มแข็ง และต้องเรียนรู้วิธีการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น รวมทั้งมีวิธีจัดการอารมณ์ในขณะที่ซึมเศร้าหรือคุ้มคลั่ง ปี้ ซูหมิ่น เชื่อว่า คนส่วนใหญ่ยอมรับในปัญหาของตัวเอง สามารถหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมได้ด้วยตนเองซึ่งเหมือนกับเรามีอาการป่วยทางร่างกาย เรามักรักษาด้วยการกินยาหรือฉีดยาก็หายดี ปี้ ซูหมิ่น เล่าให้ฟังว่า หลังเป็นจิตแพทย์แล้วเธอเรียนรู้ว่าโลกนี้มีความหลากหลายหลากมุมมอง ต่างคนต่างมีค่านิยมของตนและมีตรรกะของตัวเอง