สิ่งที่ต้องยอมรับคือ การบรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาความเป็นเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องขจัดความยากลำบากมากมาย ปัจจุบัน ประชากรที่จะเปลี่ยนสำมะโนครัวจากชนบทเป็นเมืองในจีนประกอบด้วย 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือ บัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนวิชาชีพต่างๆทุกปี พวกเขาต้องการหางานในเมืองและหวังจะได้รับสำมะโนครัวในเมือง อีกกลุ่มหนึ่งคือ ชาวชนบทที่ไปหางานในเมือง สำหรับพวกเขา สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการด้วยดีคือ การแก้ปัญหาการเข้าเรียนของลูก และเรื่องการรักษาพยาบาล เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนสำมะโนครัวจากชนบทเป็นเมืองนั้น ไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนที่อยู่อาศัยอย่างเดียวก็หมดหน้าที่ หากยังมีภาระที่สำคัญยิ่งอยู่ข้างหลัง ได้แก่ การให้ประกันสังคมด้วยดีและการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
นายคัง เหริน สมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติยกตัวอย่างว่า สำหรับชาวชนบทที่จะย้ายเข้าไปในเมือง เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการเรื่องแรกก็คือ ต้องมีงานทำ เขาเคยสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทางการท้องถิ่น 2 พื้นที่ส่งเสริมให้เกษตรกรย้ายเข้าไปในเมืองในเวลาเดียวกัน แต่เงื่อนไขและโอกาสการทำงานแตกต่างกัน ที่หนึ่งสนับสนุนให้ชาวบ้านในเขตเขาอพยพไปอยู่ที่บริเวณใกล้ๆตลาดค้าผลผลิตขนสัตว์และหนังสัตว์แห่งหนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้โอกาสทำงานในตลาดดังกล่าว จึงบรรลุการอยู่เย็นเป็นสุขได้ ส่วนอีกที่หนึ่ง ทางการท้องถิ่นสร้างอาคารบ้านเรือนจำนวนมากและส่งเสริมให้ชาวบ้านเข้าไปอยู่ แต่ที่รอบข้างไม่มีนิคมอุตสาหกรรม ตลาด วิสาหกิจ และหน่วยงานที่ให้โอกาสทำงานได้ ไม่มีโรงเรียน โรงพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ถึงทางการท้องถิ่นพยายามส่งเสริมให้ไป ชาวบ้านก็ไม่ยอมไปซื้อบ้านที่นั่น
นายเหอ ปิ่งเซิง สมาชิกสภาปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน อธิการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จีนเห็นว่า ถ้าหวังจะเปลี่ยนสำมะโนครัวของชาวชนบท 13 ล้านคนให้เป็นคนเมืองอย่างราบรื่น ต้องจัดการปัญหาการมีงานทำให้ดีก่อน เขากล่าวว่า คนจำนวนมากขนาดนี้ หากไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ที่มั่นคง จะให้ดำรงชีวิตในเมืองได้อย่างไร?หากไม่มีโอกาสทำงานที่พอเพียงและบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานต่างๆ ก็ไม่ใช่ความเป็นเมืองที่แท้จริง
นายหลี่ เจี้ยนชุน สมาชิกผู้แทนประชาชนแห่งชาติชี้ให้เห็นว่า การให้คนในชนบทจำนวนมากขนาดนี้เปลี่ยนเป็นชาวเมืองนั้น ต้องพบอุปสรรคไม่น้อยจริงๆ พวกเขาได้รับสำมะโนครัวในเมืองแล้ว ก็ต้องมีสิทธิ์ใช้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐานทุกอย่างเช่นเดียวกับชาวเมืองดั้งเดิม ไม่งั้นพวกเขาก็คงไม่ชอบชีวิตในเมือง บางคนย้ายจากชนบทไปอาศัยอยู่ในเมืองแล้ว แต่จิตใจไม่คุ้นชินกับชีวิตในเมืองอย่างแท้จริง นอกจากนี้ แม้ชาวชนบทจำนวนหนึ่งเข้าไปทำงานและดำรงชีวิตในเมืองแล้ว แต่ที่บ้านเกิดยังมีบ้านและที่ดินว่างอยู่ การจัดการปัญหาดังกล่าวก็เป็นงานสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
โดยสรูปแล้ว การให้ชาวชนบทจำนวนมากเปลี่ยนเป็นชาวเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องที่บรรลุได้ง่าย นอกจากปัญหาที่อยู่อาศัยแล้ว ยังต้องให้ผู้คนเหล่านี้ได้รับสิทธิ์ประโยชน์ของชาวเมืองทุกด้าน รวมถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล และประกันสังคมทุกชนิด เป็นต้น เพื่อให้ผู้คนเหล่านี้ชินกับวิถีชีวิตของสังคมเมือง และมีส่วนร่วมกับการพัฒนาของเมืองอย่างแท้จริง